กรณีครูแพะ เสียงจากตำรวจที่สังคมไม่ได้ยิน

เห็นพิธีกรโทรทัศน์อย่างน้อยสองช่อง กำลัง "มัน" กับการเสนอข่าว ครูแพะ แล้วรู้สึกอึดอัดใจ  ขอคุยเป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับคดีนี้บ้าง  เผื่อจะทำให้พิธีกรผู้มีจอโทรทัศน์เป็นเครื่องมือจะได้เกิดความคิดที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ตามกระบวนการที่เขาวางไว้ในกฎหมาย

         เรื่องแรก คือ การไม่ให้การในชั้นสอบสวน   ผู้ต้องหาจำนวนมากเข้าใจไปผิดๆว่า การไม่ให้ปากคำในชั้นสอบสวนจะเป็นประโยชน์แก่คดีของตน

          ผมเข้าใจว่า  คดีที่มีผู้แนะนำให้ผู้ต้องหาไม่ให้ปากคำนั้นมักจะเป็นคดีที่ผู้ต้องหามีส่วนพัวพันอยู่ในคดี  และทุกคดีประเภทนี้ก็มักเป็นเช่นนั้น   เพราะเกรงว่าเมื่อให้ถ้อยคำไปแล้ว พนักงานสอบสวนจะเอาข้อที่พัวพันนั้นไปหาแง่มุมให้เป็นโทษแก่ตนในภายหลัง จึงใช้วิธีหุบปากไว้ก่อน  ความจริงแล้ว การไม่ยอมให้การในชั้นสอบสวนนั้นเป็นพิรุธอยู่ในตัวเอง ว่าตนผิด จึงไม่กล้าแสดงเบาะแสใดๆ ออกมาเพราะกลัวจะถูกจับได้   และผู้ต้องหาประเภทนี้ หากพิสูจน์ในภายหลังได้ว่าผิด  ศาลจะลงโทษโดยไม่ลดหย่อน

         ความจริงแล้ว  หากผู้ต้องหาที่บริสุทธิ์จริงๆ  โดยเฉพาะเมื่ออ้างว่าตนไม่อยู่ในที่เกิดเหตุก็ควรจะต้องให้ปากคำแก่พนักงานสอบสวนไปโดยตรง  แล้วหาพยานมาประกอบ  เมื่อให้ปากคำไปโดยสุจริตใจเช่นนั้นแล้ว ก็จะยกขึ้นอ้างในภายหลังได้ว่าได้เคยบอกไว้เช่นนั้นแล้ว   ความจริงอันบริสุทธิ คือไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเช่นนี้ไม่มีใครจะยกขึ้นมาแกล้งให้เป็นอย่างอื่นไปได้ เมื่อถึงเวลาสืบพยานก็นำพยานมาแสดงต่อศาล     ศาลจะเชื่อหรือไม่ก็อยู่ที่ดุลพินิจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ล่วงพ้นไปจากหน้าที่ของอัยการและพนักงานสอบสวนแล้ว

         การไม่ยอมให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน เท่ากับไม่มีข้อต่อสู้ใดๆไว้ให้ศาล พิจารณาในสำนวนเลย  ดังนั้นเมื่อโจทก์พิสูจน์ถีงองค์ประกอบความผิดที่ถูกกล่าวหา ได้ครบถ้วนแล้ว  ศาสย่อมลงโทษได้ทันที ดังที่เป็นอยู่ และจะไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยคานน้ำหนัก ผ่อนผันหรือสะกิดใจศาลในอันที่จะช่วยทำให้ข้อกล่าวหาเบาลงได้เลย

         คนที่บริสุทธิ จึงควรให้การกับพนักงานสอบสวนตามความเป็นจริง

         แต่ถ้าคิดว่า จะไม่ให้การ ก็เท่ากับคิดว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องและกำลังหาทางต่อสู้อยู่ก็ตามใจ   คนในวงการกฏหมายเข้าใจเรื่องนี้ดีครับ   เพียงชาวบ้านไม่รู้และหลงเชื่อตาม ๆ กันไปว่า การไม่ให้การจะเป็นข้อได้เปรียบในภายหลัง ซึ่งงเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องสำหรับคนที่บริสุทธิ์และไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุที่เกิด  

       ขอย้ำอีกครั้งว่า  สำหรับคนบริสุทธิ์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือไม่ได้อยู่ในเหตุที่เกิดนะครับ

         ส่วนคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนผิดจริงหรือไม่  จะไม่ให้การก็แล้วแต่จะพอใจ  สุดแต่ใจจะเลือกเอาเองว่า ต้องการผลด้านใด  จะสู้เพื่อเอาชชนะให้ได้ หรือถ้าแก้ตัวไม่หลุดก็ต้องรับโทษหนัก

        เรื่องที่สอง   เท่าที่ติดตามดูจากจอโทรทัศน์ รู้สึกว่าพิธีกรที่ทำหน้าที่อยู่หน้าจอจะแสดงอาการออกนอกหน้า ว่าเชื่อพยานที่เพิ่งโผล่มาหลังเกิดเหตุเป็นปีๆแล้ว มากกว่าถ้อยคำพยานที่พยานได้ให้ไว้ในขณะใกล้เคียงเวลาเกิดเหตุ   วิธืคิดเช่นนี้ นักกฏหมายเขาไม่คิดกัน   เพราะการที่พยานมาพูดเอาหลังจากเวลาผ่านไปเป็นปีๆ แล้วนั้น  พยานโกหก ตอแหลได้ครับ   ไม่ได้แปลว่าพูดตอนหลังแล้วจะเป็นความจริงแต่อย่างใด    

          เหตุผลทางกฏหมายขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นๆ  รวมถึงพยานหลักฐาน ทางวิทยาศาสตร์  และต้องเป็นพยานที่เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ  เพราะขณะเกิดเหตุ พยานยังไม่มีโอกาสไปคิดหาเรื่องโกหกตอแหลได้  ต่างจากเมื่อเวลาผ่านไปนาน ย่อมมีสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทำให้ถ้อยคำวิปริตไปได้

        หากินทางเป็นนักข่าวหรือพิธีกรรายการข่าว ก็น่าจะมีความรู้เรื่องพื้นๆ อย่างนี้บ้าง  เป็นเรื่องของวิญญูชนแท้ๆ

             เรื่องที่สาม คือในการต่อสู้คดีอาญาในศาล  ย่อมมีที่ปรึกษากฏหมายอยู่แล้ว  ข้อต่อสู้ต่างๆที่คิดว่ามีอยู่ในขณะนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องยกขึ้นกล่าวอ้างเสียในขณะต่อสู้คดี เพื่อให้ศาล ใช้ประกอบการพิจารณาไปในคราวเดียวกันนั้นเอง

             การกล่าวอ้างว่ามีพยานปรากฏขึ้นในภายหลังนั้น วิญญูชน  -โดยเฉพาะพิธีกรรายการโทรทัศน์ ควรใช้วิจารณญาณด้วยว่า  ควรเชื่อถือได้หรือไม่

            ขอย้ำว่า  การกล่าวอ้างถึงเหตุการณ์ หลังจากเวลาได้ผ่านมานานแล้วนั้น  เป็นสิ่งน่าสงสัย

            คำพูดของคนนั้น  พูดได้ตามใจชอบเพื่อประโยชน์ของตน  เสกสรรปั้นแต่งได้  บอกว่าจะพาไปสวรรค์ก็ได้  เคยไปคุยกับพระอินทร์มาแล้วก็ยังมีคนมาอ้าง แถมยังมีคนเชื่อด้วย ความน่าเชื่อของคำพูดจึงต้องพิจารณาพยานหลักฐานอื่นมาประกอบด้วย

           เรื่องที่สี่  พิธีกรคนหนึ่ง -ขอไม่เอ่ยชื่อ  คนที่ดูอยู่คงรู้แล้ว -   พยายามซักพนักงานสอบสวน    พนักงานสอบสวนให้สัมภาษณ์แล้วว่า หลังเกิดเหตุพยานในคดีให้ถ้อยไว้ในสำนวนคำว่า "พยานขี่รถมาประสบเหตุ จึงลงไปดูและอ่านป้ายทะเบียนรถไว้ชัดเจน   และไม่มีใครลงมาจากรถยนตร์ จากนั้นรถก็ขับออกไปเลย"     แล้วพยานคนนั้นไปให้การในศาลในภายหลังว่า เห็นคนขับเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ลงมาดู       พิธีกรพยายามคาดคั้นว่า ทำไมพนักงานสอบสวนจึงไม่ถามพยานในครั้งนั้นว่า เห็นคนขับหรือไม่ อะไรทำนองนั้น  โดยพยายามจะให้เห็นว่าพนักงานสอบสวนบกพร่อง    

       อันที่จริง ในเมื่อพยานบอกแล้วว่าไม่เห็นมีใครลงมาจากรถ ก็เท่ากับเป็นคำตอบอยู่ในตัวแล้วว่า เขาไม่เห็นคนขับ หรือไม่เห็นใครทั้งสิ้น  จะต้องให้ถามทำไมว่า เห็นคนขับหรือไม่

              การซักถามประเด็นข้อเท็จจริงต่างๆ นั้น ไม่จำเป็นต้องถามกันโดยละเอียดทุกเรื่อง   ถ้าถามพอให้เห็นได้แล้วว่ารูปเรื่องเป็นอย่างไร ได้ความเพียงพอแล้วก็ใช้ได้   ไม่จำเป็นต้องถามซอกแซกเหมือนที่ที่ปรึกษากฎหมายชอบถามกันเรื่อยเปื่อยในศาลโดยมิได้ทำให้ได้ข้อเท็จจริงอื่นใดเพิ่มขึ้นเลย (จนบางทีศาลท่านก็รำคาญ แต่คงไม่อยากขัดคอ)  เมื่อมีข้อเท็จจริงที่สรุปใจความได้เพียงพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ก็ถือว่าพอแล้ว   คนอ่านสำนวนเขาเข้าใจได้และ เมื่อเบิกความศาสเข้าใจได้ก็ถือว่าสมประโยชน์ แห่งหน้าที่แล้ว   เมื่อจำเลยไม่ยอมให้การและยกเป็นประเด็นข้อต่อสู้ ขึ้นเองในภายหลังก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องหาพยานมาต่อสู้ด้วย  เมื่อผู้ต้องหาไม่ยอมให้การก็ไม่ใช่หน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องไปหาพยานอื่นใดต่อไปอีกเพื่อช่วยผู้ต้องหา     หากจะให้พนักงานสอบสวนตั้งประเด็นที่จะสอบพยานฝ่ายผู้ต้องหา  ผู้ต้องหาก็ต้องให้การเพื่อตั้งประเด็นไว้ก่อน  นี่เป็นเรื่องธรรมดา สามัญสำนึกทั่วไปโดยไม่จำเป็นต้องเรียนกฏหมาย  มิฉะนั้นก็ควรจะให้การในชั้นสอบสวนไว้ก่อนดังกล่าวข้างต้น

            เรื่องที่ห้า   อยากใหสังคมช่วยกันคิดถึงความสูญเสียของผู้เสียหายบ้าง   เวลามีเหตุเช่นนี้ สังคมมักจะเกิดอาการ "ดรามา" หรือเกิดอารมณ์สะเทือนใจไปกับผู้ต้องหา  โดยลืมไปแล้วว่า   ผู้เสียหายนอนรอความเป็นธรรมอยู่ในโลง หรือกลายเป็นเถ้าและกระดูกอย่างวังเวงไปแล้ว

             สังคมกำหนดกระบวนการขั้นตอนต่างๆ เพื่อความเป็นธรรมให้แก่ทุกฝ่ายอยู่แล้ว   คนที่ทำความผิดจริงก็ควรจะรับสารภาพหรือให้การที่เป็นประโยชนเสียตั้งแต่ชั้นสอบสวน   หากเชื่อว่าตนไม่ผิดก็ควรให้การในเรื่องจริงว่าตนอยู่ที่ไหนในขณะเกิดเหตุ   หรือหากมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้าง และไม่แน่ใจว่าตนผิดหรือไม่ จะไม่ให้การหรือรอให้การต่อศาลอย่างที่ชอบกันนัก ก็ตามใจเถิด  ผิดพลาดขึ้นมาแล้วจะมาโวยวายภายหลังไม่ได้  เพราะระบบกฎหมายเปิดทางให้ท่านอยู่แล้ว  เมื่อตัดสินใจเลือกใช้หนทางที่ผิดพลาดก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร และคง ต้องตัดสินใจเอาเองว่าจะรอรับผลอย่างไร  และจะปฏิเสธไม่ได้

            สื่อสารมวลชนเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกและความคิดของประชาชน   ท่านอาจมีสิทธิคิดและทำอย่างไรก็ได้ด้วยความมีอิสระเสรีที่ท่านต้องการ    แต่ต้องไม่ลืมว่า  ขณะที่ท่านได้ร่ำเรียนหรือสร้างตัวขึ้นมาจนมีชื่อเสียงในศาสตรด้านสื่อมวลชนนั้น   กระบวนการทางกฏหมายเขาก็มีศาสตร์ที่เขาร่ำเรียนกันมาและใช้กันอยู่เป็นหลักอันหนึ่งในสังคมมาถึงบัดนี้ เป็นร้อยปีเศษแล้ว   เรื่องคดีความทางศาลไม่ใช่บทละครเรียกน้ำตาหรือเพื่อความบันเทิง หรือสะใจแก่ผู้ชมครับ  ท่านพิธีกร

     ปัญหาของพี่ไม่ได้อยู่ที่ว่าเป็นพนักงานสอบสวนหรอกครับ ยอมรับเถอะว่าพี่โดนด่าเพราะพี่เป็นตำรวจ ทำไมผมถึงว่าอย่างนั้น

  1. ร้อยเวรออกตรวจที่เกิดเหตุ ได้พยานหลักฐานมาจึงทำการส่งตรวจ  ซึ่งการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อาจไม่ 100% แต่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าเป็นพยานหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือที่สุดและพี่ก็ได้ทำครบถ้วนแล้ว
  2. เมื่อพี่เรียกผู้ต้องหามาแจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำ ปรากฎว่าผู้ต้องหาปฏิเสธ ไม่ขอให้การในชั้นสอบสวนแต่ขอให้การในชั้นศาล หรือปฏิเสธลอย หมายความว่า ผู้ต้องหาไม่ประสงค์จะแสดงความบริสุทธิ์ของตนในชั้นสอบสวนแต่ขอไปต่อสู้ชั้นศาล
  3. เมื่อผู้ต้องหาปฏิเสธลอย พนักงานสอบสวนจึงไม่มีข้อเท็จจริงอย่างอื่นเพื่อชั่งน้ำหนักกับพยานหลักฐานที่ได้มา จึงจำเป็นต้องใช้พยานหลักฐานที่ได้เพื่อใช้ในการสั่งฟ้อง
  4. กระบวนการในชั้นสอบสวน จะใช้คำว่า พยานหลักฐานพอฟ้องหรือเชื่อได้ว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิด ซึ่งความหมายนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้ต้องหาผิดจริง แต่น่าเชื่อว่าผิด และนำผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนยุติธรรมชั้นต่อไป
  5. เมื่อพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องแล้ว ต้องส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหาไปยังอัยการ ซึ่งการตรวจสอบชั้นนี้ค่อนข้างเข้มข้น สอบเพิ่ม และถ้าไม่เห็นด้วยอัยการก็จะสั่งไม่ฟ้อง แต่คดีนี้อัยการสั่งฟ้อง
  6. เมื่ออัยการฟ้องแล้ว สำนวนการสอบสวนจะมีสถานะเป็นพยานชิ้นหนึ่ง ที่จริงเรียกได้ว่าเป็นพยานชั้น3 คือพยานบอกเล่า ซึ่งหลักโจทก์และจำเลยต้องเอาพยานหลักฐานเข้าต่อสู้ทางคดี

     เมื่อจำเลยมีโอกาสต่อสู้ทางคดีได้ถึง 2 ครั้ง คือชั้นสอบสวนด้วยกานเอสพยานของตนเข้าสู่สำนวน และในชั้นศาลถึง 3 ศาล กลับไม่เอาพยานหลักฐานสำคัญเข้าสู่กระบวนการ (โดยเฉพาะชั้นศาลที่จำเลยสามารถเอาพยานเข้าสืบได้อย่างอิสระ) กลับไม่เอาเข้ามา ทำให้เกิดความสงสัยว่า ทำไม?

     สุดท้ายกระบวนการยุติธรรมทั้งกระบวนการ ทั้งพนักงานสอบสวน อัยการ และศาล มีความเห็นไปในทางเดียวกัน แต่พนักงานสอบสวนคนเดียวเท่านั้นที่สงคัมประนาม ดังนั้น ความผิดของพี่จึงไม่ใช่เพราะพี่เป็นพนักงานสอบสวน แต่เพราะพี่เป็นตำรวจ ครับ!!





     เป็นการตั้งข้อสังเกตุของเพื่อนตำรวจที่ส่งต่อกันมาทางไลน์  เลยขอบันทึกไว้นะครับ  ถือเป็นข้อสังเกตุที่น่าสนใจ     ทนายความของครู จอมทรัพย์  แสนเมืองโครต ในคดีนี้คือ นายวันชัย  สอนศิริ  ที่สามารถอุทธรณ์จนหลุดคดีได้  แต่หมดเงินสู้ต่อชั้นฎีกา  มาดูข้อสังเกตุอีกอันของคุณปรเมศวร์  อินทรชุมนุม  อัยการที่ได้ไปตอบข้อสงสัยผ่านรายการทีวีครับ ซึ่งเขียนไว้บนเฟซบุ๊คดังนี้ครับ



     อ่านคำให้สัมภาษณ์ของครูจอมทรัพย์ฯ ที่ข่าวสดแล้ว  พบว่าการต่อสู้คดีในชั้นสอบสวนและศาลชั้นต้นนั้น มีปัญหา  เพราะทนายคนแรกที่รับว่าความนั้นไม่ได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ หรือเสนอพยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์เข้าในสำนวนการสอบสวนแต่อย่างใด(อ่านต่อได้ที่ข่าวสดออนไลน์ https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_181613)

     ยังไงก็ต้องขอเอาใจช่วยให้คุณครูจอมทรัพย์ฯ พิสูจน์ตนเองให้พ้นผิดและได้รับการเยียวยาให้ได้มากที่สุดครับ

ปล. หากกรณีนี้เป็นความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรม  ที่ไม่ใช่การทุจริต  ก็ต้องคุยกันยาวล่ะครับ  เพราะความผิดพลาดนั้นราคาแพง  เป็นการทำลายชีวิตครอบครัว ๆ หนึ่งกันเลยทีเดียว  มันไม่ควรจะเกิด  ต้องตามกันต่อครับ

ความคิดเห็น