ดื่มแล้วขับ ไม่เป่า ก็ไม่รอด !!

หลังจากที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่10) พ.ศ.2557 เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จราจรทางบก 2522  และได้มีผลบังคับใช้ไปแล้วนั้น โดยการแก้ไขในประเด็นสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 142 เกี่ยวกับกำหนดข้อสันนิษฐานในกรณีผู้ขับขี่ไม่ยอมให้ทดสอบว่าหย่อนความสามารถในการขับขี่โดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งพรบ.แก้ไขเพิ่มเติมใหม่จะให้อำนาจเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้า หน้าที่สั่งให้ผู้ขับขี่หยุดรถ เมื่อเห็นว่ารถนั้นมีสภาพไม่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ และในกรณีที่ผู้ขับขี่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าเสี่ยงเมาสุรา หรือขับรถในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับหรือขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นหรือไม่
     กฎหมายใหม่ระบุอำนาจเจ้าพนักงานจราจรว่า สามารถสั่งให้ผู้ขับขี่ขับรถเข้าช่องทางที่มีกรวยวางตั้งไว้ ให้ไขกระจกเพื่อให้เจ้าหน้าที่ยื่นอุปกรณ์เข้าไปตรวจวัดแอลกอฮอล์เข้าไปในรถได้ หรือเรียกให้ผู้ขับขี่เป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์ รวมทั้งสั่งให้ลงจากรถเพื่อดูว่าร่างกายสามารถรักษาสมดุลของการเดินได้หรือ ไม่ หากผู้ขับขี่ไม่ยอมให้ทดสอบ ให้เจ้าหน้าที่สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้นั้นเมาสุรา เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีฐานขับรถขณะเมาสุราได้
     สำหรับบทลงโทษหากมีการฝ่าฝืนตามกฎหมายใหม่ กรณีผู้ขับขี่ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานในการทดสอบ เดิมระวางโทษปรับครั้งละไม่เกิน 1,000 บาท กรณียินยอมให้ทดสอบแต่พบว่าเมาสุราขณะขับรถ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 5,000-10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบขับขี่ 
     แต่กฎหมายใหม่ได้ปรับเพิ่มความเข้มงวดในการเอาผิดทางกฎหมาย โดยกรณีไม่ยินยอมให้ทดสอบให้สันนิษฐานว่ามีเหตุอันควรเชื่อว่าเมาไว้ก่อนจะ มีบทลงโทษคือจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000 -20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยผู้ถูกกล่าวหาไปสืบพยานหักล้างในศาลได้
     โดยเหตุผลที่ต้องเพิ่มบทลงโทษ เนื่องจากที่ผ่านมา ผู้ขับขี่มักปฏิเสธให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ อีกทั้งการขับรถขณะเมาสุรามีโทษน้อยมาก จึงมักละเลยขับรถโดยประมาท ดังนั้นการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติมจึงถือเป็นมาตรการป้องปรามและขอความร่วมมือ จากประชาชนเพื่อช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ทางหนึ่ง 





     ล่าสุดมีกรณีศึกษารายแรกแล้วเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 58 เวลาประมาณ 02.30 น.  สน.บางโพงพาง ที่ตั้งจุดตรวจจุดสกัดตรวจวัดแอลกอฮอล์ พบรถยนต์เก๋งฮอนด้า บริโอ้  ผู้ขับขี่เป็นหญิง(ขอไม่เอ่ยนามครับ) ได้พยายามเลี้ยวหลบด่านตรวจ เจ้าหน้าที่จึงเรียกให้หยุดและขอตรวจวัดแอลกอฮอล์  แต่ผู้ขับขี่ดังกล่าวปฏิเสธและไม่ยอมลงจากรถจนเวลาประมาณ 03.00 น. ของวันเดียวกัน  ตำรวจจึงได้ยกรถคันดังกล่าวไปไว้ที่สถานี  ผู้ขับขี่หญิงยอมลงจากรถมาพบพนักงานสอบสวนเวลา 06.30 น.  
     จึงได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีตามกฎหมายพ.ร.บ.จราจรทางบกฉบับใหม่ ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ดังกล่าว โดยได้เพิ่มความเข้มงวดในการเอาผิดทางกฎหมายกรณีไม่ยินยอมให้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ให้สันนิษฐานว่ามีเหตุอันควรเชื่อว่าเมาไว้ก่อนมีโทษจำคุกไม่เกิน1 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
     ต้องขอขอบคุณผู้ขับขี่หญิงคนดังกล่าวไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ที่ให้เกียรติเป็นกรณีศึกษาประเดิมเป็นรายแรกของประเทศ(ตร.น่าจะมอบโล่ให้นะ ^^)  จะได้เป็นตัวอย่างแก่นักดื่มคนอื่น  ให้รู้จักเคารพกฎหมาย และรักษาสวัสดิภาพของตนเองและคนอื่น


 ปล. 1.ปริมาณแอลกอฮอล์ ที่วัดได้ต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซน
        2. เครื่องวัดนั้นได้มาตรฐานแน่นอนครับ เพราะมีการตรวจวัดค่าทุกปีกับทางป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน

ความคิดเห็น