ถือเป็นข่าวที่สร้างความตกใจไม่น้อยสำหรับพี่น้องตำรวจ โดยข่าวจาก ภ.4 ที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกฟ้องล้มละลาย หลายนาย และทำให้ขาดคุณสมบัติการรับราชการ จนต้องออกจากราชการ นอกจากนี้ยังมี ตำรวจที่เข้าข่ายหนี้สินล้นพ้นตัวอีกนับพันนาย
โดยข่าวที่ส่งต่อกันมามีประมาณว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. กล่าวถึงเรื่องปัญหาหนี้สิน ของตำรวจในพื้นที่ บช.ภ.4 พบว่า มีตำรวจ 5 นาย ถูกดำเนินคดีฟ้องล้มละลาย จนต้องออกจากราชการไปแล้ว โดยทราบว่าเป็นหนี้ธนาคารออมสิน และเป็นการกู้ยืมใช้ส่วนตัว ทั้งนี้ยังพบว่ามีตำรวจสังกัด บช.ภ.4 อยู่ในข่ายถูกดำเนินคดี 2,000 นาย และเข้าข่ายถูกฟ้องล้มละลาย 600 นาย และจากการสำรวจทั่วประเทศ พบว่ามีตำรวจที่เป็นหนี้สินที่อยู่ในข่ายถูกฟ้องล้มละลายอีก 2,000 กว่านาย รวมวงเงินกว่า 2 พันล้านบาท โดย สตช.ได้พยายามช่วยเหลือด้วยการให้จนท.สวัสดิการตำรวจ เข้าไปเจรจาไกล่เกลี่ยกับสถาบันการเงิน เพื่อขอลดหย่อน หรือพักชำระหนี้แบบ ขรก.ครู แต่ทำไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของสถาบันการเงินนั้นๆทั้งนี้ ผบ.ตร.ระบุว่า การกู้ยืมพบว่ากู้ยืมเงินเป็นหลักล้าน และปัญหาเหล่านี้เกิดมาในแต่อดีต ซึ่งเกิดจากการทำสัญญาร่วมลงนามกู้ยืมกับธนาคารและสถาบันการเงิน ให้ตำรวจกู้ ยืมและค้ำประกัน กันเอง ทั้งที่ตำรวจมีสิทธิ์กู้เงินจากสหกรณ์ตำรวจอยู่แล้ว แต่เมื่อมีสถาบันการเงินให้กู้อีก ทำให้เกิดการกู้ยืมซ้ำซ้อน และมีหนี้มหาศาล จนไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้
ตามข่าวมีความเห็นของ ผบ.ตร. ที่กล่าวถึงการที่ ตร. มีข้อตกลงกับสถาบันการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกรุงไทย , ธนาคารออมสิน ที่ปล่อยเงินกู้กับข้าราชการตำรวจในวงเงินที่สูงกว่าสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจ(ในยุคนั้น ประมาณ 10 ปีก่อน) ทำให้ตำรวจที่มีหนี้สินกับสหกรณ์ฯ อยู่แล้ว มีช่องทางในการกู้เพิ่มอีก จนเกิดเป็นหนี้สินหลายทาง ในที่สุดก็ไม่สามารถจะผ่อนชำระได้ไหว ยิ่งถ้าเกิดปัญหากับผู้ค้ำที่เป็นเพื่อนตำรวจด้วยกัน เช่น ถูกไล่ออก , เสียชีวิต อาจทำให้ภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นไปอีก
ตอนนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจในจังหวัดต่าง ๆ สามารถปล่อยกู้ในวงเงินที่ใกล้เคียงกับธนาคารพาณิชย์ นั่นคือ 1.5 - 2 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ผู้บริหารสหกรณ์จะต้องกำหนดให้ผู้กู้มีเงินเดือนเหลือพอกับการใช้จ่ายประจำเดือนอย่างน้อยสัก 20 % และจะให้ดี การกู้สหกรณ์ ควรนำเงินที่ได้ไปชำระหนี้ในสถาบันการเงินอื่น ๆ ด้วย
การวางแผนการเงิน การใช้จ่าย ไม่เคยมีการสอนกัน ทำให้ข้าราชการทั้งหลาย ประสบปัญหาด้านการเงินจำนวนมาก จึงควรเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่นำเงินในอนาคตมาใช้จนหมด พอถึงวันเกษียณแทบไม่มีทรัพย์สินในการดำรงชีพ อันนี้ต้องสร้างความตระหนักในเรื่องการออมกันด้วยนะครับ
ดูจากภาวะหนี้สินที่เกิดขึ้นจะเป็นตำรวจชั้นผู้น้อยเป็นส่วนใหญ่ ผู้บังคับบัญชาระดับสถานีควรหาทางลดค่าใช้จ่ายในการทำงาน และสนับสนุนการเพิ่มรายได้ด้วยอาชีพเสริมต่าง ๆ อีกทางด้วยครับ ส่วนข่าวที่จะไล่ตำรวจที่ถูกฟ้องล้มละลายออกนั้น ก็ต้องถามสติปัญญา และจิตวิญญาณของผู้บังคับบัญชาดูว่า มันแก้ปัญหาใด ๆ หรือไม่ ไล่ออกแล้วหนี้จบมั๊ย ครอบครัวเขาจะอยู่ยังไง คนค้ำจะเป็นยังไง
ทางแก้ปัญหาหนี้สินต้องมาดูกันเป็นราย ๆ ไป ตั้งคณะทำงานช่วยเหลือตัดสินใจร่วมกับตัวตำรวจที่มีปัญหาและครอบครัว อาจต้องสละทรัพย์สินบางส่วนเพื่อรักษาสถานภาพไว้ เช่น ที่ดิน บ้าน รถ เข้าสู่มาตรการรัดเข็ดขัด และช่วยเจรจาประนอมหนี้สิน แน่นอนว่าต้องใช้เวลาและยากลำบากแน่ ทั้ง ๆ ที่เป็นปัญหาที่ผู้กู้เป็นคนสร้างขึ้นเอง แต่คนเป็นนายคน จะบ่ายเบี่ยงกระนั้นหรือ ?
ปล.1 เมื่อปัญหาหนี้สินไม่มีทางออก ไม่มีที่ปรึกษา ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการฆ่าตัวตาย หรือ ก่ออาชญากรรมได้เช่นกัน
ปล.2 มีมุกตลกเกี่ยวกับหนี้สินข้าราชการมาฝากปิดท้ายบทความครับ(ขำบนความจริงที่ขมขื่น)
"จากการศึกษาของสภาวิจัยแห่งชาติพบว่าอาชีพที่ต้องขยายอายุราชการเป็นอันดับแรกคือ ตำรวจ ทหาร และครู เกษียณอายุ 70 ปี
เนื่องจากเห็นว่าหลังเกษียณแล้ว 10 ปี ยังใช้หนี้สหกรณ์ไม่หมด 55"
การวางแผนการเงิน การใช้จ่าย ไม่เคยมีการสอนกัน ทำให้ข้าราชการทั้งหลาย ประสบปัญหาด้านการเงินจำนวนมาก จึงควรเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่นำเงินในอนาคตมาใช้จนหมด พอถึงวันเกษียณแทบไม่มีทรัพย์สินในการดำรงชีพ อันนี้ต้องสร้างความตระหนักในเรื่องการออมกันด้วยนะครับ
ดูจากภาวะหนี้สินที่เกิดขึ้นจะเป็นตำรวจชั้นผู้น้อยเป็นส่วนใหญ่ ผู้บังคับบัญชาระดับสถานีควรหาทางลดค่าใช้จ่ายในการทำงาน และสนับสนุนการเพิ่มรายได้ด้วยอาชีพเสริมต่าง ๆ อีกทางด้วยครับ ส่วนข่าวที่จะไล่ตำรวจที่ถูกฟ้องล้มละลายออกนั้น ก็ต้องถามสติปัญญา และจิตวิญญาณของผู้บังคับบัญชาดูว่า มันแก้ปัญหาใด ๆ หรือไม่ ไล่ออกแล้วหนี้จบมั๊ย ครอบครัวเขาจะอยู่ยังไง คนค้ำจะเป็นยังไง
ทางแก้ปัญหาหนี้สินต้องมาดูกันเป็นราย ๆ ไป ตั้งคณะทำงานช่วยเหลือตัดสินใจร่วมกับตัวตำรวจที่มีปัญหาและครอบครัว อาจต้องสละทรัพย์สินบางส่วนเพื่อรักษาสถานภาพไว้ เช่น ที่ดิน บ้าน รถ เข้าสู่มาตรการรัดเข็ดขัด และช่วยเจรจาประนอมหนี้สิน แน่นอนว่าต้องใช้เวลาและยากลำบากแน่ ทั้ง ๆ ที่เป็นปัญหาที่ผู้กู้เป็นคนสร้างขึ้นเอง แต่คนเป็นนายคน จะบ่ายเบี่ยงกระนั้นหรือ ?
ปล.1 เมื่อปัญหาหนี้สินไม่มีทางออก ไม่มีที่ปรึกษา ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการฆ่าตัวตาย หรือ ก่ออาชญากรรมได้เช่นกัน
ปล.2 มีมุกตลกเกี่ยวกับหนี้สินข้าราชการมาฝากปิดท้ายบทความครับ(ขำบนความจริงที่ขมขื่น)
"จากการศึกษาของสภาวิจัยแห่งชาติพบว่าอาชีพที่ต้องขยายอายุราชการเป็นอันดับแรกคือ ตำรวจ ทหาร และครู เกษียณอายุ 70 ปี
เนื่องจากเห็นว่าหลังเกษียณแล้ว 10 ปี ยังใช้หนี้สหกรณ์ไม่หมด 55"
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น