เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 58 เวลาประมาณ 13.00 น. ศาลฎีกาพิพากษาคดีรื้อบาร์เบียร์ ที่มี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นหนึ่งในผู้ต้องหา โดยพิพากษาให้ จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา(ศาลชั้นต้นยก ชั้นอุทธรณ์ จำ 5 ปี) เนื่องจากจำเลยได้มีการเยียวยาผู้เสียหาย และบริจาคที่ดินให้เป็นที่สาธารณะ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายชูวิทย์ฯ ขึ้นรถไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นับเป็นการปิดฉากคดีที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2546 ที่ทำให้ประเทศไทยได้รู้จัก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
นายชูวิทย์ฯ เคยเป็นเจ้าของ อาบ อบ นวด ในกรุงเทพฯ มากถึง 6 แห่ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ รู้เห็นเป็นใจให้เปิดได้อย่างโจ๋งครึ่ม(ปัจจุบัน ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง) นายชูวิทย์ฯ มีการบริจาคเงินสร้างป้อมจราจรหลายแห่งในกรุงเทพฯ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตำรวจเป็นอย่างยิ่ง(สมประโยชน์ด้วยกัน) จนเมื่อถูกจับกุมกรณีร่วมกับทหารรื้อบาร์เบียร์ นายชูวิทย์ฯ ก็เปิดศึกกับตำรวจ และไม่พอใจ นายกฯ ทักษิณ ซึ่งได้ลงไปดูที่เกิดเหตุด้วยตนเอง(อ่านต่อที่ไทยรัฐออนไลน์) ช่วงนั้นมหกรรมการแฉส่วยน้ำกาม ก็ออกมาโจมตีตำรวจอย่างต่อเนื่อง ทั้งเปิดเผยรายชื่อ ตร. บุคคลสำคัญ หลาย ๆ คนที่เข้าไปใช้บริการราคาพิเศษ
จากนั้นก็ผันตัวเข้ามาสู่แวดวงการเมือง ด้วยบุคลิกที่โผงผาง บ้าบิ่น วางตัวเป็นนักตรวจสอบทุจริต จึงได้รับเลือกเป็น ส.ส. ในนามพรรครักประเทศไทย ซึ่งมีนายชูวิทย์ฯ เองเป็นหัวหน้าพรรค ถือเป็นนักการเมืองผู้มากด้วยสีสัน ในบทบาท ส.ส. ก็ได้อัดคลิปเปิดโปงบ่อนใหญ่ ๆ ใน กทม. หลายแห่ง เล่นเอา บช.น. สะท้านกันพอสมควร
ในส่วนตัวผมนับถือเขานะ ชอบในบทบาทที่เปิดโปงการทุจริต โดยเฉพาะในส่วนของตำรวจ เพราะน้อยคนนักที่จะกล้าทำเช่นนี้ ถือเป็นกระจกส่องตำรวจที่ดีมาก ๆ คิดว่าไม่น่าเกิน 2 ปี เราน่าจะได้เห็นนายชูวิทย์ฯ ออกมาสร้างสีสันบนหน้าข่าวอีกครั้ง ตอนนั้น ผบ.ตร. น่าจะเชิญไปเป็นที่ปรึกษา หรือ เป็น กต.ตร. ของ บช.น. ก็เข้าท่านะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น