ทุกวันนี้ปัญหาพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นปัญหาหลักอันหนึ่งที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของตำรวจ เนื่องจากพี่น้องประชาชนรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ได้เห็นปัญหามาโดยตลอด แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ยังไม่สามารถแก้ไขให้เป็นที่ประจักษ์หรือเป็นที่พึงพอใจได้เสียที จะเห็นได้ว่าทุกสถิติการร้องเรียน อันดับหนึ่งคือการร้องเรียนการทำงานของพนักงานสอบสวน ซึ่งมีมากกว่า 60 - 70 % เลยทีเดียว โดยเราสามารถแยกปัญหาพร้อมวิเคราะห์แนวทางการแก้ไขได้ดังนี้
- ปัญหาการขาดแคลนพนักงานสอบสวน นักเรียนนายร้อยตำรวจจบใหม่ปีละ 300 คน มีวุฒินิติศาสตร์ มีการฝึกงานพนักงานสอบสวน รวมกับการที่ได้มีการสอบจากชั้นประทวนที่มีวุฒินิติศาสตร์ไปแล้วและกำลังจะอบรมเป็นพนักงานสอบสวน ในปี 69 น่าจะเพิ่มจำนวนให้อยู่ในระดับที่เพียงพอ บางแห่งอาจจะปริ่ม ๆ แต่ที่สำคัญคือ ปัญหาการช่วยราชการ นี่แหละ แล้วทาง ตร. ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าพนักงานสอบสวน 1 คน ควรต้องมีสำนวนไม่เกินกี่คดีต่อปี ก็วางแผนจัดคนให้เพียงพอสิวะครับ เวลาแต่งตั้งโยกย้าย ก็อย่าเอา พงส. ออกไปโดยที่ไม่มีคนทดแทน
- ปัญหาการช่วยราชการ พองานมันหนัก สำนวนมันมาก คนที่อยู่ก็รู้สึกว่าไม่อยากทำงานแล้ว วิ่งเข้าหาเจ้านาย ขอช่วยราชการไปอยู่หน้าห้อง เป็นทีมงาน เป็นชุดปฏิบัติการ ชุดนั้นชุดนี้ที่สารพัดจะตั้งกันขึ้นมา ไปเถื่อนแบบไม่มีคำสั่งก็เอา ใช้เจ้านายบีบหัวหน้าสถานีให้จำนน ส่วนเพื่อนร่วมงานก็รับกรรมไป เจ้าตัวก็ยังคงได้เงินประจำตำแหน่ง สบายไป อย่างนี้ถือว่าทุจริตต่อหน้าที่ ไม่ได้เข้าเวร ไม่ได้ทำสำนวน แต่จะรับเงินเหมือนคนทำงาน อยากให้ ปปช. เข้าตรวจสอบ ดำเนินคดีทั้งเจ้าตัว และเจ้านายด้วยเลย เพราะถ้าได้ส่งกลับทั้งหมดที่ไปช่วย น่าจะพอเกลี่ยให้แต่ละสถานีที่ขาดแคลนได้
- ปัญหาแรงจูงใจในความก้าวหน้าในชีวิตราชการ แต่ก่อนมีแท่งพนักงานสอบสวน ยุคใครนะ ? ที่แม่งยุบแท่งไป ทำให้การเลื่อนขั้นต้องผ่านกระบวนการ "วิ่งเต้น" เหมือนสายงานอื่น ซึ่งแน่นอนว่าพนักงานสอบสวนแพ้ยับ การให้เลื่อนไหลถึง สบ.3 เทียบเท่ารองผู้กำกับการ นั้นเป็นแรงจูงใจที่ดี ส่วนจะเป็น สบ.4 หรือเทียบเท่าผู้กำกับการ ซึ่งตำแหน่งมีน้อย จะต้องแบ่งเป็นอาวุโส และการสอบแข่งขันก็ว่ากันไป สายงานอื่น ๆ เขาก็ไม่อยากให้พนักงานสอบสวนมารวมด้วยแต่แรก เพราะทำให้ฐานมันใหญ่เกินไป พวก สบ.3 มาปิดอาวุโสจำนวนมาก ก็ให้เขาอยู่ในแท่งเหมือนกับสายงาน หมอ นักบิน อาจารย์
- ปัญหาค่าตอบแทน แม้จะมีการเพิ่มค่าตอบแทนให้มากขึ้น แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าย้ายไปอยู่สายงานอื่นดีกว่า ไม่เครียด ไม่กดดัน ไม่เสี่ยงโดนตั้งกรรมการจากระเบียบสารพัด สารเพ ดังนั้นค่าตอบแทนเป็นเพียงองค์ประกอบส่วนหนึ่ง ถ้าแก้ปัญหาข้างต้นได้ ส่วนค่าสำนวนก็ปรับขึ้นบ้างตามภาระคดี จะได้เอามาซื้อ ซ่อมอุปกรณ์การทำงานต่าง ๆ เช่น กระดาษ หมึกพิมพ์ คอมฯ และเอามาแบ่งกับผู้ช่วยพนักงานสอบสวนได้ด้วย
- ปัญหาผู้ช่วยพนักงานสอบสวน แต่ก่อนโรงพักมีห้องคดีที่เก่ง ๆ หลายคน หัวหน้าคดี ผู้ช่วย ที่สามารถทำงานแทนพนักงานสอบสวนได้ในบางเรื่อง ปัจจุบันห้องคดีไม่มีเวลามาช่วยพนักงาบสวนเท่าไหร่ เพราะคนน้อยลง งานเอกสาร ตัวชี้วัดอะไรมันเยอะไปหมด จะบังคับตัดคนจากงานอื่นมา งานอื่นก็จะขาดกำลังพลอยู่ดี ถ้าหาคนเพิ่มให้เขาไม่ได้ ก็ใช้สมองลดภาระงานเอกสารซ้ำซ้อน สิ้นเปลืองทั้งหลายลง อย่างน้อยผู้ช่วยพนักงานสอบสวนให้มี 1 คน ต่อ 2 พนักงานสอบสวนก็ยังดี ไม่ต้องเข้าเวรก็ได้ แค่มาทำงานในเวลาปกติ แบ่งงานธุรการของ พงส. ไปทำ คอยเตือนฝากขัง ตามเอกสารต่าง ๆ ก็ช่วยได้เยอะแล้ว
- ปัญหาข้อกฎหมาย ระเบียบใหม่ ๆ ที่ออกมาเพิ่มภาระงาน เพิ่มความยุ่งยาก ให้ทำไปก่อนโดยไม่มีคำชี้แจงหรือคำแนะนำในการปฏิบัติที่ถูกต้อง กลายเป็นแต่ละคนต้องไปศึกษากันเอง จนกว่าใครสักกคนจะเป็นกรณีศึกษา ซึ่งก็หมายความว่ามีคนที่ถูกการลงโทษ ลงทัณฑ์ไปแล้วนั่นเอง
- ปัญหาความเครียดสะสม พนักงานสอบสวนเป็นอีกหน้างานที่มีความเครียดสะสมมาก เห็นได้ว่ามีการลาออก หรืออัตวินิบาตกรรม ในปีหนึ่ง ๆ ไม่น้อยเลย ซึ่งปัญหาหลัก ๆ ของความเครียดสะสมก็คือ บรรดาปัญหาข้างต้นนี้รวม ๆ กัน โดยเฉพาะปัญหาปริมาณงานล้นมือเป็นปัญหาหลัก พอทำไม่ทันก็โดนคาดโทษ ตั้งกรรมการ ฯลฯ
เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่พนักงานสอบสวนทุกคนรับทราบ ผู้บังคับบัญชาส่วนใหญ่ก็รับทราบนะ แต่ไม่รู้ว่าเป็น hear อะไร ทำไมไม่แก้ไข ให้ผลกระทบมันตกอยู่กับประชาชน สุดท้ายก็วนมาด่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ดี ทำไมการวางแผนบุคลากรระยะยาวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมันถึงได้ห่วยอย่างนี้ ไม่เห็นส่วนราชการอื่นเขาวุ่นวาย มีปัญหาแบบเรา สรุปรวม ๆ ปัญหามันอยู่ที่ระดับนายพลทั้งหลายนั่นแหละ ถ้ารู้จักเสียสละ วางแผนกำลังพลในระยะยาว ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง วางระเบียบแล้วก็ปฏิบัติตาม ไม่แหกกฎหรือหาช่องให้ลูกน้องตัวเอง หรือถ้าไม่เชื่อ ลองส่งหน้าห้องตัวเองมาเข้าเวรสอบสวนสักเดือน แล้วสรุปปัญหาให้ทราบก็ยังได้นะ ... กล้ามั๊ย