เป็นตำรวจนี่ได้ทำอะไรมากมายนะครับ ทั้งเรื่องในหน้าที่ หรือ ไม่เกี่ยวกับหน้าที่ ก็ต้องรับเอามาทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่อยากจะเอาหน้า มีการกำหนดผลการดำเนินการต้องทำทุกสถานี เช่น บวชป่ากี่ต้น ปลูกต้นไม้กี่ร้อยต้น อบรมอาสาสมัครพิทักษ์ป่ากี่ร้อยค้นแล้ว และมีผลการจับกุมคดีป่าไม้ทรัพยากรธรรมชาติกี่คดี เป็นต้น
ผมว่าพวกที่นั่งบนหอคอยนี่มีปัญหานะครับ มักจะสั่งอะไรออกมาในแบบที่สร้างความเดือดร้อนให้ลูกน้องเป็นประจำ การอบรมอาสาสมัครฯ นี่ต้องใช้งบประมาณไม่น้อย สั่งให้ทำแต่ไม่ให้งบ(อีกแล้ว) แล้วเรื่องบวชป่า ปลูกป่า นี่ทำกันมากี่ล้านต้นแล้ว ปลูกทิ้งปลูกขว้าง เอาแต่ยอดปลูกเท่านั้น ไม่เคยกลับมาดูว่าปีก่อนปลูกตรงไหน ต้นไม้โตหรือไม่ และที่ท่าจะนำมาปลูกต้นไม้นั้น ไม่ใช่หากันง่าย ๆ ไอ้ที่รายงานไปส่วนมากโม้
เรื่องแบบนี้ผมว่าปล่อยให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องเป็นแม่งานจะดีกว่า เช่น อุทยาน , ป่าไม้ เพราะเขาดูแลเรื่องพวกนี้โดยตรง มีทั้งกล้าไม้ และทราบพื้นที่ ว่าจุดไหน ตรงไหน ที่ควรจะนำต้นไม้ไปปลูกเพื่อเพิ่มพื้นที่ป่า ไม่ใช่ไปขอปลูกพื้นที่เอกชน , ส่วนราชการ , วัด หรือ ริมถนน เพราะพื้นที่อาจถูกปรับเปลี่ยนในอนาคต
ส่วนเรื่องการกวดขันจับกุมในพื้นที่ก็ว่ากันไป ถ้าตรวจพบ หรือสืบทราบก็ให้เข้าจับกุม ทั้งการซุกซ่อน แปรรูป ต่าง ๆ คงไม่ต้องถึงกับกำหนดเป้ากันว่าจะต้องจับกุมกี่คดี เพราะถ้าไม่มี มันก็แปลว่าไม่มี และตำรวจก็ไช่ผู้เชี่ยวชาญการดูไม้ ต้องให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตรวจสอบอีก ถามว่าหน่วยงานอย่างป่าไม้เขามีกำลังพลไม่ใช่น้อย สามารถจับกุมเองได้ ลองถามดูว่าปี ๆ นึงเข้าจับกุมได้มากน้อยเพียงใด ไม่ใช่อยากเอาหน้า ก็รับงานจรมาให้ลูกน้องทำ ทั้ง ๆ ที่งานประจำก็ล้นมืออยู่แล้ว ถ้าเจ้านายว่างมากก็หาอะไรทำที่มันไม่เป็นภาระกับผู้ปฏิบัตินะครับ
เรื่องที่ไม่ใช่หน้างานโดยตรง ก็ไม่ต้องรับมานะครับ มีหลายเรื่องเลยที่รับมาเป็นภาระ ทั้ง ๆ ที่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ถ้าหน่วยงานที่รับผิดชอบยังไม่ขยับทำ แล้วตำรวจมารับทำเองหมดนี่ไม่ไหวครับ เมืองไทยก็เป็นแบบนี้ ทำงานเอาหน้า ไม่ได้ทำจริง มันเลยล้มเหลวกันทุกเรื่อง
ปล. การปลูกป่านี่ดีนะครับ ไม่ได้คัดค้าน แต่ขอทำงานในหน้าที่ให้ดีก่อนดีกว่ามั๊ย / ภาพจากเดลินิวส์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น