จากกรณีเหตุ ร.ต.อ.อิสระพงษ์ กุลจินดา รอง สวป.สภ.หนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พร้อมนายศุภสิทธิ์ หม่องเลี้ยง เจ้าหน้าที่ตำรวจอาสา ชุดปราบปรามพิเศษ สภ.หนองขาม กำลังเข้าระงับเหตุนายนิรุต จิตหมั่น เมาสุรานำปืนขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก และปืนขนาด 9 มม. อีก 1 กระบอก ออกมาโชว์กร่างใส่ชาวบ้าน จนชาวบ้านในละแวกดังกล่าวต่างหวาดระแวงกลัวปืนลั่นใส่ จึงรีบแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ เมื่อคนร้ายเห็นตำรวจก็ได้ถือปืนวิ่งหลบหนีขึ้นบริเวณห้องนอน ชั้น2 จากนั้นร้อยตำรวจเอก อิสระพงษ์ และนายศุภสิทธิ์ ก็ได้เดินเข้าไปตรวจสอบคนร้ายภายในบ้าน จนทั้งคู่ถูกคนร้ายยิงสวนออกมา โดยตำรวจอาสาถูกยิงที่บริเวณหน้าท้อง ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนร้อยตำรวจเอก อิสระพงษ์ ถูกยิงที่สะบักหลังขวา นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าร้านขายของชำ ก่อนที่พลเมืองดีจะนำตัวทั้งคู่ส่งโรงพยาบาลแหลมฉบัง แต่ร้อยตำรวจเอก อิสระพงษ์ ถูกกระสุนตัดขั้วหัวใจ จึงทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยเหตุเกิดเมื่อช่วงเย็นวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
ขณะที่ พันตำรวจเอก กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งให้ ร้อยตำรวจเอก อิสรพงษ์ รับความชอบพิเศษ 5 ขั้น 4 ชั้นยศ เลื่อนจาก “ร้อยตำรวจเอก” เป็น “พลตำรวจตรี” และญาติจะได้รับเงินกองทุนสวัสดิการตำรวจ และเงินบำเน็จตกทอดช่วยเหลือกว่า 1 ล้าน 9 แสนบาท พร้อมกันนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะบรรจุทายาทของข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิต เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ให้ได้เข้ารับราชการตำรวจ จำนวน 1 ราย
หลังเกิดเหตุ ทางตำรวจภูธรหนองขาม พร้อมผู้บังคับบัญชาระดับสูงได้เข้าตรวจสอบในที่เกิดเหตุ ซึ่งพบปลอกกระสุนตกอยู่ในที่เกิดเหตุจำนวน 2 ปลอก รถจักรยานยนต์ออนด้า สกู๊ปปี้ไอ สีแดง ทะเบียน 31-5261 สภ.ศรีราชา และรถจักรยานยนต์ฮอนด้า ซีบีอาร์ ทะเบียนตราโล่ห์ 62780 และ 62782 จำนวน 2 คัน อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจได้ระดมกำลังกว่า 50 นาย ล้อมจับกุม นายนิรุต ไว้ได้พร้อมปืนที่ใช้ก่อเหตุ ขณะที่หลบซ่อนตัวอยู่ภายในห้องบริเวณชั้น2 ของร้านขายของชำ เบื้องต้น ทางตำรวจได้ควบคุมตัวคนร้ายไปสอบสวนหาสาเหตุในการก่อเหตุครั้งนี้
จากการตรวจสอบปืนจำนวน 3 กระบอก ประกอบด้วย อาวุธปืน ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก และอาวุธ ขนาด 9 มม. อีกจำนวน 2 กระบอก นอกจากนี้จากการตรวจค้นภายในตัวของคนร้ายแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบ เครื่องกระสุน ขนาด 9 มม. จำนวน 10 นัด ยาเคตามีน จำนวน 1 ถุงเล็ก และอุปกรณ์การเสพยาเสพติดอีกจำนวนหนึ่ง ในขณะเดียวกันจากการตรวจสารเสพติดภายในร่างกายคนร้ายแล้ว ก็พบว่าปัสสาวะสีม่วง ซึ่งมีสารเมทแอมเฟตามีน ,เคตามีน อยู่ในร่างกาย และยังพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย 67 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งคนร้ายก็ให้การรับสารภาพว่าเสพยามา
ขณะที่ พันตำรวจเอก กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งให้ ร้อยตำรวจเอก อิสรพงษ์ รับความชอบพิเศษ 5 ขั้น 4 ชั้นยศ เลื่อนจาก “ร้อยตำรวจเอก” เป็น “พลตำรวจตรี” และญาติจะได้รับเงินกองทุนสวัสดิการตำรวจ และเงินบำเน็จตกทอดช่วยเหลือกว่า 1 ล้าน 9 แสนบาท พร้อมกันนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะบรรจุทายาทของข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิต เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ให้ได้เข้ารับราชการตำรวจ จำนวน 1 ราย
ทั้งนี้ ทางตำรวจได้แจ้งข้อหา ขัดขืนต่อสู้เจ้าพนักงาน ,ฆ่าเจ้าพนักงาน ,พยายามฆ่าผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ,พกพาอาวุธโดยไม่มีเหตุอันควร ,ยิงปืนในพื้นที่สาธารณะ และเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 โดยผิดกฎหมาย
ที่มา : https://www.brighttv.co.th/latest-news/social/179722
หลายท่านที่ได้เห็นเหตุการณ์จากคลิปข่าว คงมีข้อสงสัยไม่น้อยว่าเหตุใด ทั้งที่เห็นอย่างชัดแจ้งว่าคนร้ายมีอาวุธปืนและอยู่ในอาการมึนเมาไม่สามารถคุมสติได้ ตำรวจจึงเข้าไปชาร์จกับกุมแบบมือเปล่า จนเกิดเหตุสลดตามที่เป็นข่าว ถ้าจะให้สันนิษฐานถึงสาเหตุจากที่ได้ฟัง ๆ จากเพื่อนข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติ ตั้งข้อสังเกตุไว้ดังนี้
ข้อสังเกตุเหล่านี้ก็เป็นมานาน และยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เพราะเป็นเรื่องเล็กน้อย ขี้ปะติ๋ว ที่ตำรวจโรงพักต้องจัดการกันเอง ตอนนี้ท่านผู้บังคับบัญชากำลังยุ่งกับการตรวจทรงผม และแต่งตั้ง พวกเอ็งก็รอไปก่อนนะ ถ้าทำไม่ได้ก็บอก จะหาคนที่ทำได้มาทำแทน ฮ่วย !
ปล. ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยครับ และผู้ต้องหาในคดีนี้ มันเป็นใคร ทำไมสามารถมีปืนได้ตั้ง 3 กระบอก
หลายท่านที่ได้เห็นเหตุการณ์จากคลิปข่าว คงมีข้อสงสัยไม่น้อยว่าเหตุใด ทั้งที่เห็นอย่างชัดแจ้งว่าคนร้ายมีอาวุธปืนและอยู่ในอาการมึนเมาไม่สามารถคุมสติได้ ตำรวจจึงเข้าไปชาร์จกับกุมแบบมือเปล่า จนเกิดเหตุสลดตามที่เป็นข่าว ถ้าจะให้สันนิษฐานถึงสาเหตุจากที่ได้ฟัง ๆ จากเพื่อนข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติ ตั้งข้อสังเกตุไว้ดังนี้
- กฎหมาย เป็นที่รู้กันดีว่ากฎหมายประเทศนี้ ไม่เอื้อต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ จะคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหามากกว่าผู้เสียหายซะอีก เจ้าหน้าที่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าเป็นต่างประเทศอย่างที่เราทราบกันดี แค่คนร้ายมีอาวุธปืน หรือแค่มีด ถ้าเจ้าหน้าที่สั่งให้วางอาวุธ ต้องวาง ไม่เช่นนั้นเจ้าหน้าที่มีสิทธิยิงได้ทันที สำหรับประเทศไทย ต้องให้คนร้ายเล็งและยิงมาทางเจ้าหน้าที่เสียก่อน เจ้าหน้าที่จึงจะยิงตอบโต้ได้ จะเห็นได้ว่าเขาใส่ใจทรัพยากรบุคคลมากกว่าอาชญากร เพราะเจ้าหน้าที่คนหนึ่งต้องใช้ระยะเวลาและงบประมาณในการอบรมไม่ใช่น้อย นี่ถ้าเกิดการยิงกันขึ้นมาแล้วเจ้าหน้าที่วิสามัญฯ คนร้าย ก็จะต้องตกเป็นผู้ต้องหาในกระบวนการที่ยืดยาว
- ระบบ ถ้ายิงคนร้ายตาย มันก็จะมีความเห็นจากสังคมว่า ตำรวจทำเกินกว่าเหตุ ผู้บังคับบัญชาก็จะเอาตัวรอด ทิ้งให้ผู้ปฏิบัติต้องถูกกระหน่ำรอบด้าน สภาพแบบนี้มีให้เห็นกันอยู่บ่อย ๆ ใครจะอยากตกเป็นผู้ต้องหา ต้องสู้คดีชั้นศาลหลายเดือน เผลอ ๆ อาจต้องออกจากราชการไว้ก่อนอีก
- อุปกรณ์ จะเห็นได้ว่า ร.ต.อ.อิสระพงษ์ฯ และพวก ไม่ได้สวมเสื้อเกราะปฏิบัติงานแต่อย่างใด(แต่ทรงผมผ่านนะ ท่านผู้บังคับบัญชาคงภูมิใจ) ต้องถามว่า ทำไม เสื้อเกราะไม่มีแจกเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ต้องให้เขาหาซื้อมาเองอีกหรือ ทุกอย่างเลยหรือ ประเทศเรายากจนขนาดนั้นเชียว เห็นบางหน่วยแม่งซื้ออาวุธโครม ๆ ตำรวจเราต้องซื้อปืน กระสุน เสื้อเกราะ วิทยุ ด้วยเงินส่วนตัว จะอยู่กันอย่างนี้จริงหรือ คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจตื่นมาดูความจริงบ้าง !
- ยุทธวิธี ไม่อยากตำหนิ เพราะหน้างาน สถานการณ์จริง มันยากกว่ามานั่งดูคลิปแล้วพูดหลังเกิดเหตุ ร.ต.อ.อิสระพงษ์ฯ อาจเห็นว่าจะเกิดอันตรายกับประชาชนที่อยู่ใกล้เคียง เลยตัดสินใจชาร์จ ก็ถือเป็นอุทาหรณ์ในการทำงาน อย่าเอาตัวไปเสี่ยง คิดถึงลูกเมียครอบครัวดีกว่าครับ
ข้อสังเกตุเหล่านี้ก็เป็นมานาน และยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เพราะเป็นเรื่องเล็กน้อย ขี้ปะติ๋ว ที่ตำรวจโรงพักต้องจัดการกันเอง ตอนนี้ท่านผู้บังคับบัญชากำลังยุ่งกับการตรวจทรงผม และแต่งตั้ง พวกเอ็งก็รอไปก่อนนะ ถ้าทำไม่ได้ก็บอก จะหาคนที่ทำได้มาทำแทน ฮ่วย !
ปล. ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยครับ และผู้ต้องหาในคดีนี้ มันเป็นใคร ทำไมสามารถมีปืนได้ตั้ง 3 กระบอก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น