- ประหารชีวิต
- จำคุก
- กักขัง
- ปรับ
- ริบทรัพย์สิน
วิธีเพิ่มโทษ ลดโทษ เปลี่ยนโทษ การรอการลงโทษและระงับโทษต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
วิธีการเพื่อความปลอดภัยมิใช่โทษ มี 5 ประการ คือ
- กักกัน
- ห้ามเข้าเขตกำหนด
- เรียกประกันทัณฑ์บน
- คุมตัวไว้ในสถานพยาบาล
- ห้ามประกอบอาชีพบางอย่าง
ลักษณะของโทษที่จะบังคับแก่ผู้กระทำผิดมี 3 ลักษณะคือ
- โทษที่บังคับต่อชีวิต ได้แก่ โทษประหารชีวิต ด้วยการเอาไปยิงเสียให้ตาย ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้การฉีดสารพิษให้ตาย เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2546
- โทษที่บังคับต่อเสรีภาพ ได้แก่
- โทษจำคุก โดยมีกำหนดระยะเวลาและไม่มีกำหนดระยะเวลา ซึ่งการคำนวณเกี่ยวกับระยะเวลาจำคุกจะเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
- โทษกักขัง ให้กักขังผู้ต้องโทษไว้ในสถานที่อันมิใช่เรือนจำโดยมีระยะเวลาอยู่ภายในเงื่อนไขของกฎหมาย และจะนำไปใช้เป็นการลงโทษหรือเป็นมาตรการบังคับในกรณีที่ฝ่าฝืนการลงโทษปรับ ริบทรัพย์สิน ตลอดจนเรียกประกันทัณฑ์บน ในวิธีเพื่อความปลอดภัย
- โทษที่บังคับต่อทรัพย์สินได้แก่
- โทษปรับ ผู้นั้นต้องชำระเงินตามจำนวนที่กำหนดไว้ในคำพิพากษา หากขัดขืนผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับหรือกักขังแทนค่าปรับ โทษนี้มักใช้คู่กับโทษจำคุก
- โทษริบทรัพย์ บังคับเอาแก่ทรัพย์ที่ทำหรือมีไว้เป็นความผิด ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด ได้มาโดยการกระทำความผิด และได้ให้เป็นสินบนหรือได้ให้เพื่อจูงใจเพื่อเป็นรางวัลในการกระทำความผิด
โทษประหารชีวิต
วิธีการประหารชีวิตในปัจจุบันคือเอาไปฉีดสารพิษให้ตาย ตาม ปอ.มาตรา 19 หากผู้ต้องโทษประหารชีวิตเป็นหญิงมีครรภ์ ต้องรอโทษประหารชีวิตไว้ก่อนจนกว่าจะคลอดบุตรแล้วจึงให้ประหารได้ ตาม ปวอ. มาตรา 247 วรรค 2
หากผู้ต้องโทษประหารชีวิตเป็นคนวิกลจริตก่อนถูกประหารชีวิต ต้องรอการประหารชีวิตไว้จนกว่าจะหาย ถ้าหายหลัง 1 ปี นับแต่คำพิพากษาถึงที่สุด ก็ให้ลดโทษลงเป็นจำคุกตลอดชีวิต ตาม ปวอ. มาตรา 248
โทษจำคุก
การคำนวณระยะเวลาจำคุก มีหลักเกณฑ์ตาม ปอ. มาตรา 21 คือ ให้นับวันเริ่มจำคุกคำนวณเข้าด้วย และให้นับเป็นหนึ่งวันเต็ม โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนชั่วโมง เช่น ศาลพิพากษาให้จำคุกจำเลย วันที่ 3 มกราคม 2530 เวลา 15.30 น. ส่งตัวจำเลยเข้าเรือนจำเวลา 16.30 น. ดังนั่นให้นับวันที่ 3 มกราคม 2530 เป็นวันแรกของการลงโทษจำคุก และให้นับเป็น 1 วันเต็ม ไม่เหมือนกับนับระยะเวลาใน ปพพ. มาตรา 158 ซึ่งจะไม่นับวันแรกของระยะเวลารวมคำนวณเข้าไปด้วย
ในกรณีที่กำหนดโทษไว้เป็นเดือน ไม่ถือตามเดือนปฏิทิน แต่เอา 30 วัน เป็นหนึ่งเดือน เช่น เริ่มต้นจำคุกวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2530 มีกำหนด 1 เดือน ครบกำหนดวันที่ 2 มีนาคม 2530 ไม่เหมือนกับการนับระยะเวลาใน ปพพ. มาตรา 159 วรรคต้น ซึ่งให้คำนวนตามปฏิทิน
ถ้ากำหนดเป็นปีให้คำนวณตามปฏิทินในราชการ ซึ่งอาจมี 365 วันหรือ 366 วัน ก็ได้ เช่น เริ่มต้นจำคุกวันที่ 1 ตุลาคม 2530 ครบกำหนด 1 ปี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2531
อนึ่งการกำหนดโทษจำคุก ถ้ากฎหมายระวางโทษไว้อย่างไร ศาลก็ต้องกำหนดให้เป็นไปตามนั้น เช่น กฎหมายระวางโทษเป็นเดือน ศาลก็ต้องกำหนดโทษเป็นเดือนด้วย
หลักเกณฑ์การเริ่มรับโทษจำคุก เป็นไปตาม ปอ.มาตรา 22 วรรคแรก คือให้เริ่มแต่วันมีคำพิพากษา แต่ถ้าผู้ต้องคำพิพากษาถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาให้หักจำนวนวันที่ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาตามคำพิพากษาเช่น จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ถูกตำรวจจับได้ในวันที่ 1 มกราคม 2531 และได้ถูควบคุมขังไว้ที่สถานีตำรวจ จนพนักงานอัยการนำตัวขึ้นฟ้องในวันที่ 1 เมษายน 2531 และศาลได้พิพากษาให้จำคุก 2 ปี ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2531 ดังนี้ศาลต้องหักวันคุมขังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 31 ถึง 1 กรกฎาคม 31 เป็นเวลา 6 เดือน 1 วัน ออกจากระยะเวลาจำคุกก่อน ผลสุดท้ายจำเลยต้องรับโทษจำคุกในเรือนจำเพียง 1 ปี 5 เดือน 29 วัน
โทษกักขัง
โทษกักขังเป็นโทษที่เกี่ยวกับเสรีภาพของผู้กระทำความผิดเช่นเดียวกับโทษจำคุกแต่เป็นโทษที่เบากว่า เพราะไม่ได้ถูกกักขังในเรือนจำและผู้ต้องโทษกักขังมีสิทธิต่างๆ มากกว่าผู้ต้องโทษจำคุก
การบังคับใช้โทษกักขัง ในปัจจัย ในปัจจุบันไม่มีบทบัญญัติมาตราใดในประมวลกฎหมายอาญาที่กำหนดโทษกักขังแก่ผู้กระทำความผิดสำหรับการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งโดยเฉพาะ มีแต่เพียงที่บัญญัติความผิดบางมาตราที่ให้เปลี่ยนโทษอย่างอื่นมาเป็นโทษกักขัง หรือใช้วิธีการลงโทษกักขังเพื่อเป็นมาตรการเร่งรัดให้กระทำการตามที่กฎหมายบัญญัติได้แก่
- การที่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังตามมาตรา 23 (การเปลี่ยนโทษกักขังกลับเป็นโทษจำคุกมาตรา 27)
- กรณีต้องโทษปรับแล้วไม่ชำระค่าปรับ หรือศาลสงสัยว่าจะมีการหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ให้มีการกักขังแทนค่าปรับ (มาตรา 29)
- กรณีขัดขืนคำพิพากษาของศาลให้ริบทรัพย์สิน ให้กักขังจนกว่าจะปฏิบัติตาม (มาตรา 34)
- กรณีไม่ยอมทำทัณฑ์บนหรือหาประกันไม่ได้ ให้กักขังจนกว่าจะปฏิบัติตาม (มาตรา 46)
- ในกรณีไม่ชำระเงินตามที่ศาลสั่ง เมื่อกระทำผิดทัณฑ์บน ให้มีการกักขังจนกว่าจะมีการชำระ (มาตรา 47)
- สถานที่กักขังซึ่งกำหนดไว้อันมิใช่เรือนจำ คือสถานีตำรวจ หรือสถานกักขังของกรมราชทัณฑ์
- สถานที่อื่นซึ่งไม่ใช่สถานที่กักขังซึ่งกำหนดได้แก่ ที่อาศัยของผู้นั้นเอง ที่อาศัยของผู้อื่นที่ยินยอมรับผู้นั้น และสถานที่อื่นที่อาจกักขังได้
สิทธิของผู้ต้องโทษกักขัง (มาตรา 25-26) คือ
กรณีที่ผู้ต้องโทษกักขังในสถานที่ซึ่งกำหนด มีสิทธิได้รับการเลี้ยงดูจากสถานที่นั้น มีสิทธิได้รับอาหารจากภายนอกโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ใช้เสื้อผ้าของตนเอง ได้รับการเยี่ยมอย่างน้อยวันละ 1 ชม. และรับส่งจดหมายได้ (มาตรา 25)
ในกรณีที่ผู้ต้องโทษกักขังถูกกักตัวไว้ในสถานที่อื่น ผู้ต้องโทษกักขังมีสิทธิต่างๆ ดีกว่าผู้ถูกกักขังในสถานที่ซึ่งกำหนด มีสิทธิจะดำเนินการใช้วิชาชีพของตนเองได้ตามแต่ศาลจะเห็นสมควรกำหนดเงื่อนไข
โทษปรับ
โทษปรับเป็นโทษอาญาในทางทรัพย์สิน การเสียค่าปรับคือการชำระเงินจำนวนหนึ่งต่อศาลตามจำนวนที่ศาลกำหนดเอาไว้ในคำพิพากษา (มาตรา 28)
ถ้าผู้ต้องโทษปรับไม่ชำระค่าปรับภายในเงื่อนไขของกฎหมาย คือภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษาผู้นั้นก็อาจจะถูกยึดทรัพย์สินใช้แทนค่าปรับ หรือถูกกักขังแทนค่าปรับ แต่ศาลก็อาจเรียกประกันหรือกักขังแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้ ถ้ามีเหตุอันสมควรสงสัยว่าผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ (มาตรา 29)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น